คำถามคำตอบเกี่ยวกับยางพารา
Q: หากต้องการปลูกยางพันธุ์ที่ให้ทั้งน้ำยางได้ดี ในขณะเดียวกันยังให้เนื้อไม้ปริมาณมาก ควรจะปลูกยางพันธุ์อะไรดี
A: ยางพันธุ์ที่ให้ผลผลิตอเนกประสงค์ ให้ทั้งน้ำยางได้ดีและให้เนื้อไม้ปริมาณสูง พันธุ์ยางกลุ่มดังกล่าวมีอยู่หลายพันธุ์ เช่น
พันธุ์ พีบี 235 เป็นพันธุ์ที่นำมาจากประเทศมาเลเซีย การเจริญเติบโตก่อนเปิดกรีดดีและสม่ำเสมอ ระยะต้นแรกแตกกิ่งได้เร็ว แต่ทยอยทิ้งกิ่งด้านล่างของต้น เมื่ออายุมากขึ้น จะเหลือกิ่งไว้ 4-5 กิ่ง มีทรงพุ่มขนาดใหญ่เป็นทรงกลม เริ่มผลัดใบช้ากว่าพันธุ์อื่นๆ ลำต้นมีเปลือกหนาปานกลาง เปลือกงอกใหม่หลังกรีดจะบางกว่าเปลือกเดิม ให้ผลผลิตเฉลี่ย 10 ปี เมื่อเปิดกรีด 330 กิโลกรัม ต่อไร่ ต่อปี ซึ่งให้น้ำยางมากกว่าพันธุ์มาตรฐาน อาร์ อาร์ ไอ เอ็ม 600 ประมาณ 37 เปอร์เซ็นต์ เมื่ออายุ 6,15 และ 20 ปี จะให้ผลผลิตเนื้อไม้ 0.10, 0.30 และ 0.41 ลูกบาศก์เมตร ต่อต้น มีความสามารถในการต้านทานโรคใบร่วง เนื่องจากเชื้อไฟทอปทอร่าปานกลาง แต่จะอ่อนแอต่อโรคเปลือกแห้ง ในที่โล่งลมพัดแรงมักหักโค่นปานกลาง ไม่แนะนำให้ปลูกบนที่ลาดชัน หน้าดินตื้น และไม่ควรปลูกระยะชิด เนื่องจากมีทรงพุ่มขนาดใหญ่
พันธุ์ พีบี 255 นำเข้าจากประเทศมาเลเซีย ขนาดลำต้นปานกลาง ทรงพุ่มทึบ ขนาดกลาง เริ่มผลัดใบค่อนข้างช้า เปลือกเดิมและเปลือกเกิดใหม่หลังกรีดน้ำยางค่อนข้างหนา ผลผลิตเฉลี่ย 10 ปี 318 กิโลกรัม ต่อไร่ ในช่วงผลัดใบผลผลิตลดลงปานกลาง ช่วงอายุ 6, 15 และ 2 ปี ให้เนื้อไม้ 0.10, 0.28 และ 0.39 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ตามลำดับ ข้อเสียคืออ่อนแอต่อโรคใบร่วงที่เกิดจากเชื้อไฟทอปทอร่า ทนทานต่อโรคเปลือกแห้งได้ดีปานกลาง ลำต้นแข็งแรงต้านทานลมพัดแรง ปลูกได้ดีในที่ลาดชัน หน้าดินตื้น
พันธุ์ พีบี 260 นำมาจากประเทศมาเลเซีย การเจริญเติบโตดี และสม่ำเสมอทั่วทั้งแปลง หากปลูกพร้อมกัน แตกกิ่งน้อย กิ่งมีขนาดปานกลาง พุ่มใบทึบในช่วงอายุน้อย และมีทรงพุ่มขนาดกลาง เปลือกลำต้นหนา แต่เปลือกจะบางหลังจากเปิดกรีดหน้ายางแล้ว ผลผลิตเฉลี่ย 10 ปี ให้ผลผลิต 322 กิโลกรัม ต่อไร่ ต่อปี อายุ 6, 15 และ 20 ปี ให้เนื้อไม้ 0.10, 0.26 และ 0.36 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ เป็นพันธุ์ที่ทนต่อโรคใบร่วง เนื่องจากเชื้อไฟท็อปทอร่าได้ปานกลาง และต้านทานโรคเปลือกแห้งได้ดี ปลูกได้ในที่ลาดชัน หน้าดินตื้น ไม่แนะนำให้กรีดติดต่อกัน
พันธุ์ พีบี 235 เป็นพันธุ์ที่นำมาจากประเทศมาเลเซีย การเจริญเติบโตก่อนเปิดกรีดดีและสม่ำเสมอ ระยะต้นแรกแตกกิ่งได้เร็ว แต่ทยอยทิ้งกิ่งด้านล่างของต้น เมื่ออายุมากขึ้น จะเหลือกิ่งไว้ 4-5 กิ่ง มีทรงพุ่มขนาดใหญ่เป็นทรงกลม เริ่มผลัดใบช้ากว่าพันธุ์อื่นๆ ลำต้นมีเปลือกหนาปานกลาง เปลือกงอกใหม่หลังกรีดจะบางกว่าเปลือกเดิม ให้ผลผลิตเฉลี่ย 10 ปี เมื่อเปิดกรีด 330 กิโลกรัม ต่อไร่ ต่อปี ซึ่งให้น้ำยางมากกว่าพันธุ์มาตรฐาน อาร์ อาร์ ไอ เอ็ม 600 ประมาณ 37 เปอร์เซ็นต์ เมื่ออายุ 6,15 และ 20 ปี จะให้ผลผลิตเนื้อไม้ 0.10, 0.30 และ 0.41 ลูกบาศก์เมตร ต่อต้น มีความสามารถในการต้านทานโรคใบร่วง เนื่องจากเชื้อไฟทอปทอร่าปานกลาง แต่จะอ่อนแอต่อโรคเปลือกแห้ง ในที่โล่งลมพัดแรงมักหักโค่นปานกลาง ไม่แนะนำให้ปลูกบนที่ลาดชัน หน้าดินตื้น และไม่ควรปลูกระยะชิด เนื่องจากมีทรงพุ่มขนาดใหญ่
พันธุ์ พีบี 255 นำเข้าจากประเทศมาเลเซีย ขนาดลำต้นปานกลาง ทรงพุ่มทึบ ขนาดกลาง เริ่มผลัดใบค่อนข้างช้า เปลือกเดิมและเปลือกเกิดใหม่หลังกรีดน้ำยางค่อนข้างหนา ผลผลิตเฉลี่ย 10 ปี 318 กิโลกรัม ต่อไร่ ในช่วงผลัดใบผลผลิตลดลงปานกลาง ช่วงอายุ 6, 15 และ 2 ปี ให้เนื้อไม้ 0.10, 0.28 และ 0.39 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ตามลำดับ ข้อเสียคืออ่อนแอต่อโรคใบร่วงที่เกิดจากเชื้อไฟทอปทอร่า ทนทานต่อโรคเปลือกแห้งได้ดีปานกลาง ลำต้นแข็งแรงต้านทานลมพัดแรง ปลูกได้ดีในที่ลาดชัน หน้าดินตื้น
พันธุ์ พีบี 260 นำมาจากประเทศมาเลเซีย การเจริญเติบโตดี และสม่ำเสมอทั่วทั้งแปลง หากปลูกพร้อมกัน แตกกิ่งน้อย กิ่งมีขนาดปานกลาง พุ่มใบทึบในช่วงอายุน้อย และมีทรงพุ่มขนาดกลาง เปลือกลำต้นหนา แต่เปลือกจะบางหลังจากเปิดกรีดหน้ายางแล้ว ผลผลิตเฉลี่ย 10 ปี ให้ผลผลิต 322 กิโลกรัม ต่อไร่ ต่อปี อายุ 6, 15 และ 20 ปี ให้เนื้อไม้ 0.10, 0.26 และ 0.36 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ เป็นพันธุ์ที่ทนต่อโรคใบร่วง เนื่องจากเชื้อไฟท็อปทอร่าได้ปานกลาง และต้านทานโรคเปลือกแห้งได้ดี ปลูกได้ในที่ลาดชัน หน้าดินตื้น ไม่แนะนำให้กรีดติดต่อกัน
--------------------
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
